Innovators in Touchpoint Solution
  • บทความน่าสนใจ
  • ซอฟท์แวร์ของเรา
  • บริการของเรา
  • เกี่ยวกับเรา! นะวะตะ
  • ติดต่อเรา
  • English Version

5 เหตุผลที่องค์กรของคุณควรจะต้องมีการให้บริการลูกค้าผ่านทาง Social Media

5/19/2013

0 Comments

 
Picture
- บทความจาก Inc. Magazine : 5 Reasons Your Customer Service Needs to Be Social


การเข้าไปมีส่วนร่วมกับลูกค้าในสื่อสังคมออนไลน์ หรือ Social Media สามารถให้ผลตอบแทนกลับมายังองค์การของเราได้อย่างมาก และในทางกลับกันการไม่สนใจว่าลูกค้าทำอะไรอยู่บ้างใน Social Media จะกลายมาเป็นต้นทุนขององค์กรของเราได้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ยกตัวอย่าง ลูกค้าได้เขียนข้อความตำหนิผลิตภัณฑ์ของเราใน Pantip หากเรามีระบบที่คอยตรวจสอบและจัดการเรื่องร้องเรียนนี้ได้อย่างดีไม่ล่าช้าเกินไป เราสามารถเปลี่ยนลูกค้าที่ไม่พอใจนี้เป็นลูกค้าที่มีความภักดีกับเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าเราไม่มีระบบคอยตรวจสอบ เราก็ไม่ทราบว่าลูกค้าตำหนิผลิตภัณฑ์ของเราใน Pantip มันก็จะมีการ Comment ต่อๆ กันไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะรู้ตัวบางทีมันก็ยากเกินกว่าจะแก้ไข

จากรายงานล่าสุดจาก Mobile Workforce Management “Click Software” Website แสดงตัวเลขว่าสินค้าใดที่มีระบบตรวจสอบและบริการลูกค้าผ่านทาง Social Network องค์กรเหล่านั้นจะมีลูกค้าที่ภักดีเพิ่มขึ้นจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ และนี่คือเหตุผล 5 ข้อที่ธุรกิจควรจะรู้เกี่ยวกับว่าองค์กรควรจะมีการให้บริการดูแลลูกค้าผ่านทาง Social Media

1. ถึงแม้คุณจะไม่ได้มีบริการลูกค้าผ่านทาง Social Media แต่ลูกค้าของคุณได้ใช้ Social Media ในการเชื่อมต่อกับองค์กรของคุณอยู่แล้ว ตามรายงาน 62% ของลูกค้ากล่าวว่าพวกเขาได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์สำหรับการบริการลูกค้าและ 47% ของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์กล่าวว่าพวกเขา "มีความต้องการอย่างมาก" ที่จะให้องค์กรมีการบริการลูกค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์

2. ลูกค้าใช้ Social Media เพราะมัน Work ใช้การได้จริง ตัวเลขระบุว่า 30% ของลูกค้ากล่าวว่าพวกเขาต้องการสื่อสังคมออนไลน์เพื่อการบริการพวกเขามากกว่าใช้แบบดั้งเดิมคือโทรศัพท์ และ 55% คาดหวังว่าจะได้รับการตอบสนองการขอบริการภายในวันเดียวกัน

3. ผู้บริโภคส่วนใหญ่ส่วนใหญ่ต้องการ “Like” บริษัทของคุณ มากกว่า 70% ของลูกค้าที่มีประสบการณ์ในเชิงบวกในการบริการผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จะแนะนำแบรนด์ต่อให้กับเพื่อนๆ ในสื่อสังคมออนไลน์ และพวกเขาที่ Like เหล่านี้จะใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าของคุณมากกว่าลูกค้าที่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับองค์กรของคุณมากถึง 20 - 40%

4. ถ้าองค์กรของคุณไม่ตอบสนองลูกค้าที่มาจากสื่อสังคมออนไลน์ คุณจะสูญเสียพวกเขาเหล่านั้นไป ในด้านที่ลูกค้าต้องพบเจอประสบการณ์การบริการที่ไม่ดีของคุณ มันจะเป็นต้นทุนขององค์กรของคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว มากกว่า 800 ลูกค้าที่ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า พวกเขาไม่ทำการซื้อสินค้าของบริษัทที่ให้บริการลูกค้าไม่ดี

5. คุณสามารถเชื่อมต่อกับลูกค้าแบบหนึ่งในหนึ่ง เกือบหนึ่งในสามของลูกค้ากล่าวว่าพวกเขาใช้ Facebook Page ของสินค้านั้นๆ ที่จะถามคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ในขณะที่ 10% ไปใช้ใน Twitter ในการถามคำถามผลิตภัณฑ์


คุณสุรศักดิ์ ภักดีวัฒนะกุล
ที่ปรึกษาทางด้าน Social Contact Center และ Social CRM
0 Comments

Customer Engagement

2/15/2013

0 Comments

 
Picture
Marketing Yourself! : ดร.วิเลิศ ภูริวัชร

ถ้าเราพบว่าลูกค้ามีความจงรักภักดีในแบรนด์ของเราแล้ว เราจะทำอย่างไรในขั้นต่อไป เพื่อให้ลูกค้าผูกพันกับแบรนด์ของเราให้ได้นานที่สุด ในทางการตลาด การสร้างให้ลูกค้ามีความผูกพันลึกซึ้งกับแบรนด์ คือ การพยายามสร้างให้เกิด Customer Engagement (CE) ซึ่งเป็นระดับที่ลูกค้าเกิดความผูกพันทางด้านอารมณ์ (Emotional Attachment) มีความรักในแบรนด์นั้น และรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกับแบรนด์ มีแนวโน้มที่จะใช้ต่อไปในอนาคตจนชั่วชีวิตและหาลูกค้าเพิ่มให้ โดยความเต็มใจ มีงานวิจัยพฤติกรรมลูกค้าที่น่าสนใจมาก ที่จัดทำโดยบริษัทเดนท์สุ ในช่วงปี ค.ศ.2002-2007 โดยสอบถามผู้บริโภคในหลายๆ ประเทศถึงปัจจัยที่กำหนด Brand Performance ผลปรากฏว่า การทำให้สินค้าเกิดความแตกต่าง (Differentiation) ที่เป็นสาเหตุที่นักการตลาดชอบย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ ซื้อของผู้บริโภคนั้นเป็นปัจจัยรอง มิใช่สาเหตุหลักในการเลือกแบรนด์ของสินค้า ส่วนเหตุผลสำคัญลำดับแรกกลับกลายเป็นความเกี่ยวข้อง ความผูกพันกับแบรนด์ และตามมาด้วยความเชื่อมั่นในแบรนด์นั้น

ท่านลองวิเคราะห์ตัวท่านเองก็ได้ครับ ว่าสินค้าที่ท่านใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ ยาสีฟันแป้ง หรือสินค้าอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่ท่านซื้อเพราะมันแตกต่างไปจากแบรนด์อื่น หรือว่าซื้อเพียงเพราะความมั่นใจหรือความผูกพันที่ได้ใช้มาในอดีต การพัฒนาให้ลูกค้าเกิดความผูกพันกับแบรนด์ (CE) มิใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องเริ่มจากการพัฒนาสัมพันธภาพกับ ลูกค้าผ่านหลายๆ ระดับด้วยกัน และการวิเคราะห์ระดับต่างๆ ที่จะกล่าวถึงนี้สามารถวัดได้จริงในทางปฏิบัติโดยการทำวิจัย
การตลาด ในระดับแรก คือการสร้างให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ (Confidence) ในขั้นนี้ลูกค้ามีความไว้วางใจและเชื่อถือในตัวบริษัท เพราะบริษัททำได้จริงตามสัญญาที่ให้ไว้ ระดับต่อมาคือ การสร้างให้เกิดความซื่อสัตย์และความจริงใจ (Integrity) ลูกค้ารู้สึกได้ว่าบริษัทมีความจริงใจ มีความยุติธรรมและสามารถติดตามแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับลูกค้าได้อย่างน่าประทับใจระดับที่ลูกค้าเกิดความภาคภูมิใจ (Pride) เป็นระดับที่สำคัญในลำดับต่อมา การแสดงถึงความภูมิใจที่ได้ใช้แบรนด์นี้ รู้สึกดีที่ได้ใช้และอดไม่ได้ที่จะบอกบุคคลรอบข้างถึงความภาคภูมิใจที่ได้ ใช้สินค้านี้

แต่สุดยอดของการสร้างให้ลูกค้ามีความผูกพันลึกซึ้งกับแบรนด์ Customer Engagement คือ การพัฒนาให้ลูกค้าเกิดความหลงใหล (Passion) เห็นเสน่ห์ของการใช้แบรนด์ของเรา ลูกค้ารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถมาแทนที่แบรนด์ของเราได้จุดนี้คือจุดที่ลูกค้าสามารถบอกได้ว่า They love us.

การพัฒนาให้ลูกค้ารู้สึกได้ถึง Passion ในแบรนด์ ต้องอาศัยการบูรณาการกลยุทธ์ที่เน้นการสร้างสัมพันธภาพกับลูกค้าหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management: CRM) หรือกลยุทธ์การสร้างประสบการณ์ทางบวกให้กับลูกค้า (Customer Experience Management: CEM) และเมื่อลูกค้าได้รับการปฏิบัติอย่างน่าประทับใจและมีประสบการณ์ทางบวกอย่าง ต่อเนื่อง ความผูกพันลึกซึ้งก็จะเกิดขึ้น (CRM และ CEM นำไปสู่ CE) คำว่า Passion นี้ หมายถึงว่าลูกค้าได้เห็นเสน่ห์ของแบรนด์เราถึงขั้นหลงใหลได้ปลื้ม ลองนึกถึงแฟนฟุตบอลสโมสรต่างๆ ในอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นแฟนหงส์ แฟนผี หรือแฟนปืน ลูกค้าเหล่านี้มีความผูกพันกับแบรนด์อย่างลึกซึ้ง ดีใจ เสียใจ กับทีมของตน ทั้งๆ ที่อาจไม่เคยไปอังกฤษด้วยซ้ำ แต่ความผูกพันกับแบรนด์ก็เกิดขึ้นได้ เพราะได้เห็น Passion เสน่ห์และหลงใหลถึงขั้นเป็นสาวกของทีมนั้นไปแล้ว

ในชีวิตจริงของคนเรา ถ้าเรามี Passion ในสิ่งที่ทำ ท่านก็จะทำจากใจ มีความสุขที่ทำ อย่างที่ผมเขียนคอลัมน์นี้ในทุกสัปดาห์ ก็เพราะเห็น Passion ในงานเขียน ประมาณว่า ถ้าไม่รักก็เขียนไม่ได้ ใช่มั้ยละครับ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าท่านเห็นPassion ในชีวิต เห็นเสน่ห์ของการใช้ชีวิต ชีวิตนี้ก็มีสีสันและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข


คุณสุรศักดิ์ ภักดีวัฒนะกุล
ที่ปรึกษาทางด้าน Social Contact Center และ Social CRM


0 Comments

Fax Server คืออะไร

1/27/2013

0 Comments

 
Picture
ระบบ Fax Server ถือว่าเป็นระบบที่สามารถช่วยสิ่งแวดล้อมได้ คือ ลดการบริโภคกระดาษลง การทำงานของระบบ Fax Server จะทำหน้าที่รับเอกสารFax ที่เข้ามาแปลงเป็นเอกสารในรูปแบบ Electronic หรือที่เรียกกันว่า Soft File แทน ทำให้ทุกเอกสาร
Faxที่เข้ามาไม่ได้ถูกพิมพ์ออกไปใช้กระดาษทุกครั้ง 

ข้อดีของการเป็น Soft File คือ User สามารถเลือกได้ว่าจะพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษเฉพาะเอกสารที่เป็นสาระสำคัญหรือที่ต้องมีการเซ็นกำกับเท่านั้น ทำให้ลดการสิ้นเปลืองการใช้กระดาษ นั่นก็หมายถึงลดการตัดต้นไม้ ทำลายป่าได้บางส่วนไม่มากก็น้อย ถ้าบริษัทไม่กี่บริษัทใช้อาจจะดูไม่ช่วยเท่าไหร่ แต่ลองนึกดูถ้าทุกบริษัทใช้ระบบ Fax Server กันหมด จะลดการใช้กระดาษได้อย่างมหาศาล

ถามว่าระบบ Fax Server ในท้องตลาดไม่มีเหรอ คำตอบมี เยอะด้วย แต่ที่คุณภาพดีๆ ราคาจะสูงมาก มากเกินกว่าที่ชาวบ้านทั่วๆ ไป หรือธุรกิจ SME จะสามารถซื้อไปใช้ได้ และส่วนใหญ่มากกว่า 80%ก็จะเป็นของเมืองนอก ทำให้ต้องเสียดุลการค้าอีก ทั้งๆ ที่คนไทยสามารถทำกันเองใช้กันเองได้ เพราะมันไม่ต้องใช้ Technology Breakthrough อะไรเลย มีอยู่แล้ว Open Source ก็เยอะ

Picture




















โดยคร่าวๆ ระบบ Fax Server ทำงานรับและส่งเอกสาร Fax ที่แตกต่างจากเครื่อง Fax ทั่วๆ ไป คือ
1. ในกรณีรับเอกสาร Fax ที่มีคนส่งเข้ามา และเก็บไว้ในรูปแบบ Electronic ยังไม่พิมพ์ออกมา และทำการส่งต่อให้กับผู้รับผิดชอบโดยสามารถส่งต่อไปในรูปแบบ Email หรือไปเก็บในระบบไว้ให้ผู้รับผิดชอบเข้ามาเปิดดูได้เอง
2. ในกรณีส่งเอกสาร Fax ออกไปให้คนอื่น  โดยที่เอกสารที่จะส่งนั้นอาจจะอยู่ในรูปแบบกระดาษ หรือ เป็น Soft File อยู่บนเครื่อง Computer ก็ได้ ที่สำคัญคือผู้ใช้สามารถส่ง Fax ได้จากที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่หน้าเครื่องFax ที่จะส่ง
 
จะแตกต่างจากเครื่อง Fax ที่เราใช้ๆ กันอยู่คือ รับเอกสาร Fax ออกมาเป็นกระดาษ Fax แล้วต้องไป Copy ไว้เพราะเดี๋ยวกระดาษ Fax ต้นฉบับมันจะค่อยๆ จาง (กรณีใช้เครื่อง Fax รุ่นที่เป็นCabon) และกรณีจะส่ง ผู้ส่งก็ต้องมีเอกสารที่เป็นกระดาษที่จะส่ง และต้องมายืนต่อสายที่หน้าเครื่อง Fax และก็รอ รอ ว่ามันจะส่งสำเร็จหรือไม่

 และที่เรียกว่า Server เพราะ
1. มันทำงานอยู่บนเครื่อง Computer ที่มี CPU, Harddisk, RAM, Software ฯลฯ ไม่ใช่เป็นเครื่อง
Fax ที่เราใช้กันอยู่ทั่วๆ ไป ซึ่งนั่นเรียกว่า Fax Machine
2. มันมีระบบจัดเก็บเอกสาร Fax ไว้ในตัว เพื่อสำหรับจัดเก็บไว้เป็นประวัติการรับส่งเพื่อสำหรับส่งใหม่อีกครั้ง หรือเป็นเอกสารอ้างอิงได้ในภายหลังได้ เหมือนกับที่เราทำการรับส่ง Email ก็จะมีประวัติเก็บไว้ว่าเราส่งให้ใคร เนื้อหาเป็นอย่างไร เป็นต้น

แต่หลักการที่สำคัญของ Fax Server คือ
1. การรับเอกสาร Fax จะไม่ต้องพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวกระดาษ Fax หมด ระบบจะรับเอกสารและเก็บเป็น Soft File ในตัวเครื่องหรือส่งไปให้กับผู้ที่รับผิดชอบทาง Email โดยที่ผู้ที่ได้รับเอกสาร Fax สามารถดูได้ว่าเอกสารชิ้นนี้ จะต้องพิมพ์หรือไม่ จะได้ไม่ต้องเปลืองกระดาษพิมพ์ทุกครั้ง และเนื่องจากเป็น Soft File นั่นหมายความว่าผู้รับ สามารถส่งเอกสารต่อไปให้กับผู้อื่นที่เกี่ยวข้องได้ทันที โดยไม่ต้องไปทำสำเนาเหมือนเดิม
2. ในการส่งออก ถ้าเป็นเอกสารที่อยู่ในรูปของ Soft File ผู้ส่งก็ไม่จำเป็นต้องสั่งพิมพ์เป็นกระดาษออกมาให้เปลือง สามารถสั่งให้ส่งFax ได้จากหน้าจอ Computer ของตนเองได้ทันที โดยไม่ต้องลุกออกจากโต๊ะ และไม่ต้องมาต่อคิวเพื่อรอส่ง Fax ที่เครื่องส่งเอกสารด้วย ระบบจะเป็นคนจัดคิวในการส่งให้เอง เป็นการลดการเสียเวลาการทำงานได้อย่างดีสำหรับองค์กรที่ต้องมีการรับส่งเอกสารบ่อยๆ พนักงานจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นที่สำคัญมากกว่าไปรอส่ง Fax
3. ลดการใช้กระดาษ เพราะทุกเอกสารสามารถเก็บไว้ในรูปแบบของ Soft File หรือ Electronic File ได้ที่สำคัญไม่เปลื่อยไม่ยุ่ย ไม่หาย ไม่ไหม้


คุณสุรศักดิ์ ภักดีวัฒนะกุล
ที่ปรึกษาทางด้าน Social Contact Center และ Social CRM


0 Comments

เรื่องดีๆมีไว้แบ่งปัน....

1/25/2013

2 Comments

 
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
ทันใดนั้น
น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า
 'ผมขโมยเองครับ'
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมาก
พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้
และด่าว่าน้องชายของฉัน
'ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้
แล้วพูดว่า
'พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า
'ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้น
น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
'ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ
ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
'ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'
แต่ในขณะเดียวกัน
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้
.......
วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
ขณะฉันกำลังหลับ
'พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'

ฉันนั่งอยู่บนเตียง
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า.......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ.......
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า
'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
 ...
ฉันถามเขาว่า
'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
'พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ
เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า
'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่า
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า
'แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด'เจ็บมากไหม'
ฉันถาม

'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะและ...'

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
ท่านบอกว่า
ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...
เขาบอกกับฉันว่า
'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
 ...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง
น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา...
ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
'ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ  หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้
ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย.....
ฉันบอกกับน้องว่า
'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'
'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
'ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล
'พี่สาวของผมครับ' .....
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม 
โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ
.......นับจากวันนั้น
ผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม
ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ'
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก
.......
'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก
และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....


ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท
น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า 'ซัมซุง' 

ประธานอี บย็อง-ช็อล เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซัมซุงบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้
อี บย็อง-ช็อล เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2453ในจังหวัดอึย-เรียง มนฑลคยองซังนัมอี
ได้ก่อตั้งบริษัทการค้าซัมซุงขึ้นในปี พ.ศ. 2481 ในเมืองแทกู หลังจากนั้นก็ได้ก่อตั้งบรัษัทซัมซุงโปรดักส์
บริษัทสิ่งทอ และ บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า
ตลอดระยะเวลาที่เค้าได้ทำคุณประโยชน์นานับประการให้กับประเทศเกาหลีใต้
เขาจึงกลายเป็นต้นแบบทีมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแวดวงธุรกิจในยุคสมัยนั้น
ในปี พ.ศ. 2504 เขาได้รับการเสนอชื่อและได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมนักธุรกิจ
นี้เป็นเรื่องราวคร่าวๆ ของผู้เคยเป็นคนบริหารSamsung
2 Comments

    นวัตกร

    We are all innovators.  We design innovation. We create differentiation.  We go
    green.

    Archives

    May 2013
    February 2013
    January 2013

    Categories

    All
    เรื่องดีๆ
    Crm
    Customer Engagemenet
    Engagement
    Fax Server
    Good Story
    Samsung
    Social Crm
    Social Media Monitoring
    Social Media Services

    RSS Feed

Powered by Create your own unique website with customizable templates.